ตัวอย่าง เรื่องวิปลาสของด็อกเตอร์จีคอลกับมิสเตอร์ไฮด์
ว่าด้วยเรื่องประตู
มิสเตอร์อัตเตอร์สันเป็นคนยิ้มยาก ชอบปั้นหน้าถมึงทึงให้ดูเย็นชาแถมพูดจาไม่ค่อยเก่ง ขนาดเป็นทนายความแท้ๆ ยังไม่ชอบออกความคิดความเห็น หุ่นก็สูงยาวเก้งก้าง และมักทำตัวซึมกะทือน่าเบื่อหน่าย กระนั้นแกก็เป็นที่รักใคร่อย่างน่าประหลาด พอได้เหล้าเข้าปากยามสังสรรค์กับมิตรสหาย ดวงตาของมิสเตอร์อัตเตอร์สันจะฉายแววอบอุ่นวับวาม เรียกว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เคยปรากฏในคำพูดคำจาของแกเลย แต่กลับฉายเด่นบนใบหน้าหลังมื้ออาหาร และบ่อยครั้งก็สื่อผ่านวิถีชีวิตอันมลังเมลืองของแกนั่นเอง
มิสเตอร์อัตเตอร์สันยังเป็นคนสมถะ เวลาอยู่ตัวคนเดียวแกจะข่มใจไม่ดื่มไวน์ราคาแพงและกระดกเหล้ายินถูกๆแทน ความจริงเรื่องดูหนังดูละครแกก็ชอบอยู่ แต่ยังไม่วายขี้เหนียวจนเป็นเหตุให้ไม่ได้ย่างกรายเข้าโรงละครมาร่วมยี่สิบปีแล้ว อย่างไรก็ดี มิสเตอร์อัตเตอร์สันกลับไม่ใช่คนเข้มงวดกับเรื่องของคนรอบข้าง แกออกจะชื่นชมปนอิจฉาเวลาเห็นชาวบ้านทำอะไรเสี่ยงๆแผลงๆเสียด้วยซ้ำไป ถ้าหากเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็ไม่ซ้ำเติมแถมยังจะพร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ “ก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมนี่” มิสเตอร์อัตเตอร์สันมักจะพูด "ใครอยากจะทำอะไรก็ช่างเขาเถอะ" นิสัยแบบนี้เองที่ทำให้แกมักจับพลัดจับผลูได้ข้องเกี่ยวกับคนที่กำลังตกอับ และกลายมาเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของคนเหล่านั้น ขอแค่เพียงถ่อสังขารมาถึงสำนักงานของแกได้ มิสเตอร์อัตเตอร์สันก็พร้อมจะต้อนรับโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะแกเป็นคนหน้าตายนั่นแหละ ใครๆก็เชื่อว่าแกคงเป็นคนดีตามตำรา เรียกว่าขี้เกรงใจเสียจนบอกปัดคนที่เข้ามาคบค้าไม่ลง แต่นี่ก็เป็นวิถีทางที่ยอดทนายของเราเลือกเอง พวกที่นายอัตเตอร์สันนับเป็นเพื่อนมักจะเป็นคนที่มีสายเลือดเกี่ยวดองกับแกหรือไม่ก็รู้จักกันมานานนม ว่ากันว่ามิตรภาพของแกก็เหมือนไม้เลื้อย ยิ่งนานวันยิ่งงอกงาม จึงไม่แปลกที่แกจะสนิทกับมิสเตอร์ริชาร์ด เอนฟีลด์ คนดังประจำเมืองผู้เป็นญาติห่างๆของแกเอง คนรอบข้างต่างขบคิดกันจนปวดหัวว่าเหตุใดสองคนนี้จึงเข้ากันได้ หรือมีความสนใจอะไรเหมือนกัน เคยมีคนเห็นพวกเขาเดินเล่นด้วยกันในวันอาทิตย์ แล้วมาเล่าว่าทั้งคู่เดินกันเงียบกริบ ดูยังไงก็เรียกไม่ได้ว่าสนุก ทั้งยังถอนหายใจโล่งอกกันเห็นๆ เมื่อเจอคนรู้จักที่มาช่วยทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด อย่างไรก็ตาม ทั้งสองให้ความสำคัญกับทริปวันอาทิตย์มาก เรียกว่าเป็นทีเด็ดของสัปดาห์ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะมีงานเร่งด่วนหรือโอกาสสังสรรค์อื่นๆแทรกเข้ามา ก็ไม่เคยผัดผ่อนช่วงเวลานี้เลย
จะว่าโชคดลบันดาลก็คงไม่ผิดนัก มิสเตอร์อัตเตอร์สันกับเอนฟีลด์ย่ำต๊อกเข้าถนนสายเล็กในย่านคึกคักของกรุงลอนดอนระหว่างการเดินเล่นนี่เอง ตรอกแคบๆอันเงียบสงบแห่งนี้จะแออัดด้วยร้านรวงในช่วงวันธรรมดา ธุรกิจย่านนี้ล้วนทำมาค้าขึ้น กระนั้นพวกพ่อค้าก็ยังหวังที่จะร่ำจะรวยยิ่งขึ้นไปอีก พวกเขาจึงทำป้ายและแผ่นโฆษณาติดหราเต็มหน้าร้าน เป็นที่เตะตาแขกเหรื่อราวกับนางกวัก แม้จะซบเซาไปบ้างตอนวันอาทิตย์ แต่ตรอกเปล่าๆในย่านนี้ก็ยังดูดีมีราศีกว่าย่านโทรมๆรอบข้างอยู่มากโข เรียกว่าเหมือนเป็นกองไฟท่ามกลางป่าทึมทึบ ด้วยตัวร้านที่ทาสีสดใหม่ ทองเหลืองขัดจนมันปลาบ และความสะอาดสะอ้านที่ต้องตาต้องใจแต่แรกเห็น
หากเดินมาตามถนนฝั่งทิศตะวันออกแล้วเลยไปสองประตูจากหัวมุม จะมีทางเดินตัดเข้าไประหว่างตึกซึ่งเชื่อมกับลานบ้านหลังหนึ่ง ตรงนี้เองจะเห็นตึกหน้าตาอัปลักษณ์ที่ยื่นหน้าจั่วออกมาติดถนน ตัวตึกมีสองชั้น ไม่มีหน้าต่างจากฝั่งถนน และมีเพียงประตูหนึ่งบานที่ชั้นล่าง ชั้นสองเลยเป็นแค่ผนังเปล่า สีซีด ไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่เห็นวี่แววของการดูแลรักษามานาน จะว่าไป ตัวประตูเองก็ดูผุพังและเก่าเก็บ ไม่มีทั้งกระดิ่งหรือที่เคาะ พวกคนจรจัดจึงมักอาศัยชายคาตึกหลังนี้เป็นที่หลบแดดหลบฝน เวลาจะจุดไม้ขีดก็ขูดกับประตู เด็กๆมาตั้งร้านเล่นขายของบนขั้นบันได นักเรียนมือบอนก็เคยมาลองมีดกับขอบประตู ถึงกระนั้นตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีใครเปิดประตูออกมาไล่คนพวกนี้ หรือซ่อมแซมรักษาตัวตึกแต่อย่างไร
วันนั้นมิสเตอร์เอนฟีลด์กับอัตเตอร์สันกำลังเดินอยู่อีกฝั่งถนน แต่พอมาถึงบริเวณหน้าประตู เอนฟีลด์ก็ยกไม้เท้าขึ้นชี้
“เห็นประตูนั่นไหม” พออัตเตอร์สันบอกว่าเคย เอนฟีลด์ก็พูดต่อ “เห็นมันทีไร ผมก็อดคิดถึงเรื่องสุดพิลึกเรื่องหนึ่งไม่ได้”
“งั้นรึ” มิสเตอร์อัตเตอร์สันตอบด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เรื่องอะไรกัน”
“เรื่องมีอยู่ว่า” เอนฟีลด์เริ่ม....
เรื่องวิปลาสของด็อกเตอร์จีคอลกับมิสเตอร์ไฮด์ (พิมพ์ครั้งที่ 2)
สั่งซื้อทางไลน์ กดที่นี่
สั่งซื้อทางเฟซบุ๊ก กดที่นี่
ว่าด้วยเรื่องประตู
มิสเตอร์อัตเตอร์สันเป็นคนยิ้มยาก ชอบปั้นหน้าถมึงทึงให้ดูเย็นชาแถมพูดจาไม่ค่อยเก่ง ขนาดเป็นทนายความแท้ๆ ยังไม่ชอบออกความคิดความเห็น หุ่นก็สูงยาวเก้งก้าง และมักทำตัวซึมกะทือน่าเบื่อหน่าย กระนั้นแกก็เป็นที่รักใคร่อย่างน่าประหลาด พอได้เหล้าเข้าปากยามสังสรรค์กับมิตรสหาย ดวงตาของมิสเตอร์อัตเตอร์สันจะฉายแววอบอุ่นวับวาม เรียกว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เคยปรากฏในคำพูดคำจาของแกเลย แต่กลับฉายเด่นบนใบหน้าหลังมื้ออาหาร และบ่อยครั้งก็สื่อผ่านวิถีชีวิตอันมลังเมลืองของแกนั่นเอง
มิสเตอร์อัตเตอร์สันยังเป็นคนสมถะ เวลาอยู่ตัวคนเดียวแกจะข่มใจไม่ดื่มไวน์ราคาแพงและกระดกเหล้ายินถูกๆแทน ความจริงเรื่องดูหนังดูละครแกก็ชอบอยู่ แต่ยังไม่วายขี้เหนียวจนเป็นเหตุให้ไม่ได้ย่างกรายเข้าโรงละครมาร่วมยี่สิบปีแล้ว อย่างไรก็ดี มิสเตอร์อัตเตอร์สันกลับไม่ใช่คนเข้มงวดกับเรื่องของคนรอบข้าง แกออกจะชื่นชมปนอิจฉาเวลาเห็นชาวบ้านทำอะไรเสี่ยงๆแผลงๆเสียด้วยซ้ำไป ถ้าหากเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็ไม่ซ้ำเติมแถมยังจะพร้อมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ “ก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมนี่” มิสเตอร์อัตเตอร์สันมักจะพูด "ใครอยากจะทำอะไรก็ช่างเขาเถอะ" นิสัยแบบนี้เองที่ทำให้แกมักจับพลัดจับผลูได้ข้องเกี่ยวกับคนที่กำลังตกอับ และกลายมาเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของคนเหล่านั้น ขอแค่เพียงถ่อสังขารมาถึงสำนักงานของแกได้ มิสเตอร์อัตเตอร์สันก็พร้อมจะต้อนรับโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะแกเป็นคนหน้าตายนั่นแหละ ใครๆก็เชื่อว่าแกคงเป็นคนดีตามตำรา เรียกว่าขี้เกรงใจเสียจนบอกปัดคนที่เข้ามาคบค้าไม่ลง แต่นี่ก็เป็นวิถีทางที่ยอดทนายของเราเลือกเอง พวกที่นายอัตเตอร์สันนับเป็นเพื่อนมักจะเป็นคนที่มีสายเลือดเกี่ยวดองกับแกหรือไม่ก็รู้จักกันมานานนม ว่ากันว่ามิตรภาพของแกก็เหมือนไม้เลื้อย ยิ่งนานวันยิ่งงอกงาม จึงไม่แปลกที่แกจะสนิทกับมิสเตอร์ริชาร์ด เอนฟีลด์ คนดังประจำเมืองผู้เป็นญาติห่างๆของแกเอง คนรอบข้างต่างขบคิดกันจนปวดหัวว่าเหตุใดสองคนนี้จึงเข้ากันได้ หรือมีความสนใจอะไรเหมือนกัน เคยมีคนเห็นพวกเขาเดินเล่นด้วยกันในวันอาทิตย์ แล้วมาเล่าว่าทั้งคู่เดินกันเงียบกริบ ดูยังไงก็เรียกไม่ได้ว่าสนุก ทั้งยังถอนหายใจโล่งอกกันเห็นๆ เมื่อเจอคนรู้จักที่มาช่วยทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด อย่างไรก็ตาม ทั้งสองให้ความสำคัญกับทริปวันอาทิตย์มาก เรียกว่าเป็นทีเด็ดของสัปดาห์ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะมีงานเร่งด่วนหรือโอกาสสังสรรค์อื่นๆแทรกเข้ามา ก็ไม่เคยผัดผ่อนช่วงเวลานี้เลย
จะว่าโชคดลบันดาลก็คงไม่ผิดนัก มิสเตอร์อัตเตอร์สันกับเอนฟีลด์ย่ำต๊อกเข้าถนนสายเล็กในย่านคึกคักของกรุงลอนดอนระหว่างการเดินเล่นนี่เอง ตรอกแคบๆอันเงียบสงบแห่งนี้จะแออัดด้วยร้านรวงในช่วงวันธรรมดา ธุรกิจย่านนี้ล้วนทำมาค้าขึ้น กระนั้นพวกพ่อค้าก็ยังหวังที่จะร่ำจะรวยยิ่งขึ้นไปอีก พวกเขาจึงทำป้ายและแผ่นโฆษณาติดหราเต็มหน้าร้าน เป็นที่เตะตาแขกเหรื่อราวกับนางกวัก แม้จะซบเซาไปบ้างตอนวันอาทิตย์ แต่ตรอกเปล่าๆในย่านนี้ก็ยังดูดีมีราศีกว่าย่านโทรมๆรอบข้างอยู่มากโข เรียกว่าเหมือนเป็นกองไฟท่ามกลางป่าทึมทึบ ด้วยตัวร้านที่ทาสีสดใหม่ ทองเหลืองขัดจนมันปลาบ และความสะอาดสะอ้านที่ต้องตาต้องใจแต่แรกเห็น
หากเดินมาตามถนนฝั่งทิศตะวันออกแล้วเลยไปสองประตูจากหัวมุม จะมีทางเดินตัดเข้าไประหว่างตึกซึ่งเชื่อมกับลานบ้านหลังหนึ่ง ตรงนี้เองจะเห็นตึกหน้าตาอัปลักษณ์ที่ยื่นหน้าจั่วออกมาติดถนน ตัวตึกมีสองชั้น ไม่มีหน้าต่างจากฝั่งถนน และมีเพียงประตูหนึ่งบานที่ชั้นล่าง ชั้นสองเลยเป็นแค่ผนังเปล่า สีซีด ไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่เห็นวี่แววของการดูแลรักษามานาน จะว่าไป ตัวประตูเองก็ดูผุพังและเก่าเก็บ ไม่มีทั้งกระดิ่งหรือที่เคาะ พวกคนจรจัดจึงมักอาศัยชายคาตึกหลังนี้เป็นที่หลบแดดหลบฝน เวลาจะจุดไม้ขีดก็ขูดกับประตู เด็กๆมาตั้งร้านเล่นขายของบนขั้นบันได นักเรียนมือบอนก็เคยมาลองมีดกับขอบประตู ถึงกระนั้นตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีใครเปิดประตูออกมาไล่คนพวกนี้ หรือซ่อมแซมรักษาตัวตึกแต่อย่างไร
วันนั้นมิสเตอร์เอนฟีลด์กับอัตเตอร์สันกำลังเดินอยู่อีกฝั่งถนน แต่พอมาถึงบริเวณหน้าประตู เอนฟีลด์ก็ยกไม้เท้าขึ้นชี้
“เห็นประตูนั่นไหม” พออัตเตอร์สันบอกว่าเคย เอนฟีลด์ก็พูดต่อ “เห็นมันทีไร ผมก็อดคิดถึงเรื่องสุดพิลึกเรื่องหนึ่งไม่ได้”
“งั้นรึ” มิสเตอร์อัตเตอร์สันตอบด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เรื่องอะไรกัน”
“เรื่องมีอยู่ว่า” เอนฟีลด์เริ่ม....
เรื่องวิปลาสของด็อกเตอร์จีคอลกับมิสเตอร์ไฮด์ (พิมพ์ครั้งที่ 2)
สั่งซื้อทางไลน์ กดที่นี่
สั่งซื้อทางเฟซบุ๊ก กดที่นี่